ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
มียอดรับรู้รายได้ 1,451 ล้านบาท กำไรสุทธิ 308 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29%
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสาม ปี 2563 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,451 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19% รวมทั้งยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี รวมถึงการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ SG&A/Sales ในไตรมาสสามนี้ ปรับลดลงอยู่ในระดับ 8.9% โดยมีตัวเลขกำไรสุทธิอยู่ที่ 308 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29% ในส่วนของยอดรับรู้รายได้ในช่วงของ 9 เดือนแรกปี 2563 นี้ อยู่ที่ 4,014 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 18% โดยมีตัวเลขกำไรสุทธิที่ 950.9 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 48% ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถทำผลงานในปีนี้ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในปี 2563 นี้ เป็นปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจ เศรษฐกิจทั่วโลกมีการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี จากปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมได้รับผลกระทบตามการหดตัวของเศรษฐกิจ และปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น ทั้งนี้ GDP ไตรมาส 3 ที่เพิ่งประกาศออกมาเช้านี้ หดตัว 6.4% ส่งผลให้ 9 เดือนแรก เศรษฐกิจไทยหดตัวที่ 6.7% อย่างไรก็ดี แนวโน้มการพัฒนาวัคซีนมีความคืบหน้าไปมาก ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลก รวมถึงประเทศไทยค่อยๆ ฟื้นตัวได้ แต่คาดว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-1.5 ปี ตัวเลขเศรษฐกิจจึงจะกลับไปอยู่ในระดับปกติก่อนเกิดการระบาด
ในแง่ของบริษัท ยอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 1,451 ล้านบาท ขยายตัว 19% จากปีก่อน ในขณะที่การบริหารต้นทุนต่างๆ ทำได้ดีขึ้น ส่งผลให้ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 308 ล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 29% โดยมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ระดับ 21.2% ในส่วนของ 9 เดือนแรกของปีนี้ แม้ตลาดโดยรวมจะสอบตัวลง แต่บริษัทยังคงสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยบริษัทยังคงรักษาการเติบโตทั้งในส่วนของยอดขาย และกำไร ได้เป็นไปตามเป้า โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 4,014 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 39.2% สะท้อนการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี รวมทั้งบริษัทสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ SG&A/Sales ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9.7% ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 11.2% ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีตัวเลขกำไรสุทธิอยู่ที่ 950.9 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 48%
โดยบริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นการเปิดเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้ปิดโครงการลง และบางส่วนเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง โดยในปีนี้บริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการในช่วงที่เหลือของปี โดยบริษัทยังคงคุมความเสี่ยงทางการเงิน และรักษาระดับ D/E Ratio ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นไตรมาสสามมีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.73 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ราว 1.4 เท่า ในขณะที่ระดับ Net IBD/E ณ สิ้นไตรมาส 3 ของบริษัทอยู่ที่ 0.44 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการบริหารงาน และบริหารด้านการเงินได้เป็นอย่างดี