“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ปักธงเป็นผู้นำในตลาดแนวราบ ประกาศแผนงานปี 63

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ปักธงเป็นผู้นำในตลาดแนวราบ

ประกาศแผนงานปี 63  วางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม 9 – 11 โครงการ  

ตั้งเป้าเติบโต 13% ยอดขาย 6,200 ล้านบาท  ยอดรับรู้รายได้ 5,250 ล้านบาท

 

     ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศแผนธุรกิจปี 2563  ตั้งเป้าเติบโตเหนือกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 5    โดยบริษัทเน้นขยายตลาดแนวราบซึ่งเป็น Real Demand  เตรียมขยายโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก  9  –  11 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000 – 5,500 ล้านบาท  ปักธงเป็น National Housing Company  พร้อมขึ้นเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ แนวราบในช่วงราคา 2 – 6 ล้านบาท  โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2563 ที่ 6,200 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท  หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 13% 

     สำหรับผลประกอบการปี 2562  แม้สภาวการณ์ของตลาดอสังหาฯ โดยรวมจะไม่เอื้ออำนวย ตลาดได้รับผลกระทบทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ตลอดจนปัจจัยลบหลายปัจจัยที่เข้ามา  ส่งผลให้บริษัทส่วนใหญ่ในตลาดฯ มีผลประกอบการที่ปรับลดลง  แต่สำหรับ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงสามารถบริหารงานได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้  โดยเป็นเพียงไม่กี่บริษัทที่ยังคงมียอดรับรู้รายได้ที่เติบโต  โดยมียอดรับรู้รายได้ทั้งปี 2562 ที่ราว 4,640 ล้านบาท เติบโตขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน

     นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul (CEO , Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปีกล่าวว่า  ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยของไทยในปี 2562 ที่ผ่านมา มีการชะลอตัวลง โดยเฉพาะในกลุ่มแนวสูง  ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง  ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง  ตลอดจนมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาเพื่อลดการเก็งกำไรในตลาดอสังหาฯ ทำให้ตลาดแนวสูง ที่มี Demand ในกลุ่มการลงทุน และ Speculative อยู่ ได้รับผลกระทบที่มากกว่าตลาดแนวราบ   ทั้งนี้ลลิลฯ มีการประเมินและมองเห็นความเสี่ยงตรงจุดนี้มาล่วงหน้า  จึงได้หยุดการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาแล้วกว่า 2 ปี  เน้นพัฒนาแต่โครงการแนวราบที่เป็น Real Demand จึงทำให้บริษัทยังคงสามารถเติบโตได้ แม้ในภาวะตลาดอสังหาฯ โดยรวมที่ซบเซา    

 

     สำหรับในปี 2563 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับในปี 2562 หรือดีขึ้นเล็กน้อย หรือขยายตัวได้ที่ราว 3% บวกลบ  โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ   เม็ดเงินการลงทุนของภาครัฐ ที่จะเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้นในปี 2563 นี้ หลังจากที่มีการล่าช้าไปในปี 2562   ตลอดจนมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ของภาครัฐที่ออกมา และนโยบายสนับสนุนให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผ่านการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยแบงก์รัฐ    ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยของประเทศไทยในไตรมาส 1 ปี 2563 ขยายตัวได้ดีขึ้นจากปี 2562    ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็จะพยายามกระตุ้นกำลังซื้อผ่านกิจกรรมทางการตลาดอย่างเข้มข้น ทั้งนี้คาดว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบในปี 2563 จะเติบโตได้ที่ 2 – 4%

     สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2563 นี้ จะให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มแนวราบ ที่เป็น Real Demand   โดยมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งในทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ  ตลอดจนเปิดโครงการใหม่เพื่อทดแทนโครงการเดิมของบริษัทที่ทยอยปิดโครงการ  โดยในปี 2563 นี้ มีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 9 – 11 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5,000 – 5,500 ล้านบาท     โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 6,200 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 13% จากปี 2562

     นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Deputy Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวถึง แผนงานด้านการตลาด ว่า “ในปีนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะดำเนินธุรกิจเชิงรุก แสดงศักยภาพขององค์กรต้นแบบผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน มากกว่า 30 ปี รวมถึงการสร้างศักยภาพองค์กรให้เติบโตในตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคง ขึ้นเป็น National Housing Company   โดยเมื่อกล่าวถึงที่อยู่อาศัยแนวราบราคาตั้งแต่ 2 -6 ล้านบาท แบรนด์ลลิล จะต้องเป็น Top of Mind ใน 3 ลำดับแรกของผู้บริโภค

     ในปีนี้ จะนำเอากลยุทธ์  Lifestyle Marketing มาสื่อสารกับลูกค้าทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ  อีกทั้งเป็นการสร้าง Brand Loyalty กับลูกค้าเป้าหมาย สร้างความเชื่อมั่นในทุกมิติ ให้เกิดการแนะนำและบอกต่อ   โดยในปีนี้จะเน้นต่อยอดการใช้สื่อ Digital Marketing  ตลอดจนมีการนำ Big Data มาใช้ เพื่อวิเคราะห์และหา Customer Insight   รวมถึงระบบ CRM เชิงรุก ในรูปแบบ Lalin 4.0 Connection ที่ลูกค้าสามารถรับทราบข่าวสารข้อมูล สื่อสารกับลลิล แบบทูเวย์คอมมิวนิเคชั่นอย่างรวดเร็ว  ซึ่งทั้งหมดคือการต่อยอดมาตรฐาน Lalin’s Quality of Living   โดยตั้งงบด้านการตลาดในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 3 – 4%

     ในส่วนของทางด้านการเงิน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 – 1,200 ล้านบาท  โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และกำไรสะสมของบริษัท   ในส่วนของ Working Cap ในการดำเนินธุรกิจ นอกจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแล้ว ส่วนหนึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ และแหล่งเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัท ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ในระดับเพียงประมาณ 0.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่าอยู่มาก ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน